เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ ม.ค. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันขึ้นปีใหม่ เป็นวันอวยพรให้มีความสุข เรามีความสุขกัน เราขวนขวายมาเพื่อทำบุญกุศลเพราะเราเห็นแก่หัวใจของเราเห็นไหม เรากระเสือกกระสนมาเพื่อทำบุญกุศล เพื่อหัวใจของเรา ใครทำคนไหนทำ มันอยู่ที่เจตนาไง ถ้าเจตนาของคนทำได้มันเป็นประโยชน์กับเรา

วันขึ้นปีใหม่เขาให้เป็นมงคลชีวิต ถ้าเป็นมงคลชีวิตนะ ใครอายุ ๑๐ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปี ๔๐ปี ๖๐ ปี เขาได้อวยพรชีวิตของเขาทุกๆ ปี ถ้าเขาอวยพรชีวิตของเขาทุกๆ ปีสิ่งที่ว่าเราขึ้นปีใหม่ เราอยากจะได้สิ่งที่ประสบความสำเร็จไปทั้งหมด แล้วของเดิมๆ ที่เรามีอยู่ล่ะ ของเดิมๆตั้งแต่ปีเก่าที่เราทำคุณงามความดีมาล่ะ ของเดิมๆ เราก็มีใช่ไหม ของเดิมๆเรามาส่งเสริมสิ่งที่ดีงามนี้ขึ้นไปสิ่งที่ดีงามจะเกิดขึ้นถ้ามีสติ เรามีสติมีปัญญานะเราจะแสวงหาสิ่งที่ดีๆ กับชีวิตของเรา

ถ้าเราขาดสติ เราทำด้วยความขาดสติ ทำด้วยความพลั้งเผลอ ทำด้วยความละโมบโลภมากความละโมบโลภมากนี้ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากเป็นอย่างหนึ่ง ความขยันหมั่นเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะมันเป็นอีกอย่างหนึ่ง

ความวิริยะ ความอุตสาหะ เขาบอกว่าเป็นความโลภ มันเป็นความทุกข์ความยาก...มันไม่ใช่ ความวิริยะความอุตสาหะเป็นคุณงามความดี มันเป็นมรรค เห็นไหมความเพียรชอบมันต้องมีความเพียร ความวิริยะความอุตสาหะมันถึงเป็นความเพียรขึ้นมา

เราก็บอกว่า “เราทำคุณงามความดีกันเราเป็นคนดี เป็นคนปล่อยวางเป็นคนว่าง”

คนปล่อยวาง คนที่เฉื่อยชา มันก็เป็นความปล่อยวางอย่างไรก็ได้ ถ้าเป็นการปล่อยวางของเราคือการปล่อยวางสิ่งที่มันดิ้นรนในหัวใจ สิ่งที่ทำสิ่งใดแล้วมันขาดตกบกพร่องไปเราก็มีความทุกข์ความร้อน เราปล่อยวางอันนี้แต่เรามาทำคุณงามความดีของเราต่อเนื่องกันไป นี่เราให้พรตัวเราเองไง

ทำคุณงามความดี เราทำคุณงามความดี ความดีจากโลกนะ ความดีจากข้างนอกความดีจากข้างนอกคือทำเพื่อสังคม ถ้าความดีของเรา เห็นไหมเราขวนขวาย เราอาบเหงื่อต่างน้ำขึ้นมาก็เพื่อหน้าที่การงานของเรา เวลาเราทำงานเสร็จแล้วเรามานั่งสมาธิของเรา เรานั่งอยู่เฉยๆ ทำงานของเรา ทำงานของเราคือเอาหัวใจของเราไง ถ้าหัวใจของเรา เรามีสติมีปัญญารักษาหัวใจของเรานะ เวลาออกมาเผชิญกับโลกแล้วมันอยู่กับโลกได้ มันไม่ทุกข์ไม่ร้อนจนเกินไปนัก มันไม่ทุกข์ไม่ร้อนจนเกินไปนักเพราะมีคุณธรรมในหัวใจ ถ้าคนไม่มีคุณธรรมในหัวใจ เห็นไหมอาบเหงื่อต่างน้ำแล้วมันก็เป็นการลงทุนลงแรงเป็นหน้าที่การงานแล้ว หัวใจยังมาวิตกกังวลอีก ทุกข์ ๒ ชั้น ๓ชั้นนะ

พอบอก“ทุกข์เป็นอริยสัจทุกข์เป็นความจริง”

เขาบอก“ทำไมต้องทุกข์พระพุทธศาสนาในมหายานเขามีความสุขของเขานะ เขาบอกนั่นเป็นความสุข นี่เป็นทุกข์นิยมๆ”

ไม่ใช่ทุกข์นิยม มันเป็นสัจจะนิยม เป็นสัจจะ มันจะมีความสุขขนาดไหน เห็นไหม สุขเกิดขึ้น สุขตั้งอยู่แล้วสุขก็ดับไปความสุข ความพอใจ ความพอใจมันอยู่กับเราตลอดไปไหมล่ะ ความพอใจมันอยู่กับเราชั่วคราวใช่ไหมความพอใจพอใจแล้วมันต้องการสิ่งอื่นๆ ที่มากขึ้นไปกว่านี้มันถึงจะเป็นความพอใจของมัน แต่ถ้าเรามาพุทโธๆ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันอิ่มเต็มของมัน เห็นไหม

ตัณหาความทะยานอยากมันล้นฝั่งแต่ถ้าจิตใจเราอิ่มพอแล้วมันไม่มีความขาดตกบกพร่อง ถ้าไม่มีความขาดตกบกพร่อง นี่คุณงามความดีของเราไง

เราขอพรๆ ขอพรให้หัวใจของเรา ขอพรให้ตัวเองทำไมมันโง่นักทำไมมันตะครุบแต่เงา หาแต่สิ่งภายนอกล่ะทำไมมันโง่นักแล้วสิ่งที่มีคุณค่าเห็นไหม ใครมันจะต่างกับใครมนุษย์เกิดมามีกายกับใจ หัวใจจิตของใครบ้างมันด้อยค่ากว่าคนอื่น หัวใจของใครบ้างที่มันต่ำค่ากว่าหัวใจของคนอื่น

หัวใจมันมีคุณค่าเท่ากันแต่เป็นเพราะหัวใจดวงนั้นต่างหากที่เขามีสติปัญญาเห็นคุณค่าในใจของเขาหรือเปล่า ถ้าเขามีสติปัญญาเห็นคุณค่าในหัวใจของเขา สิ่งภายนอกเป็นเครื่องเคียงเป็นของแถมทั้งนั้นแหละ ของแถมเพราะอะไร

สมบัติที่มันจะมีสิ่งใดมาเพราะมีเรา เราเป็นเจ้าของสมบัตินั้น คุณงามความดี เห็นไหม ดูสิ เขาอยากเป็นมหาบุรุษ เขาอยากเป็นรัฐบุรุษของเขา ใครเป็นคนทำล่ะ? ก็หัวใจทั้งนั้นแหละ แล้วรัฐบุรุษนั้นมันก็ต้องตายไป เราสร้างคุณงามความดี รัฐบุรุษเราทำความดีไว้กับโลกๆ นี่ถูกต้อง เราทำความดีไว้กับโลก นี่คือการสร้างอำนาจวาสนาบารมีเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทำแบบนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ เป็นกษัตริย์ เป็นจักรพรรดิทำคุณงามความดีมาทั้งนั้นแหละทำเพื่ออะไร? ก็ทำเพื่อโลกไงเพราะโลกได้พึ่งพาอาศัย โลกได้รับความคุ้มครอง โลกได้ความดูแลจากบุคคลคนนั้นบุคคลคนนั้นมันก็มีอำนาจวาสนาบารมีขึ้นมาใช่ไหม

บารมีซื้อหาเอาได้ไหม มีเงินทองมากมายมหาศาล ไม่เคยเจือจานใครเลยไม่เคยดูแลใครเลย มันจะมีบารมีไหม คนทุกข์คนยากเขามีน้ำใจต่อคนอื่นเขาดูแลคนอื่นมา เขามีบารมีของเขา เขาไม่มีเงินทองมหาศาลแต่ทุกคนรักเขาทุกคนพอใจเขาทุกคนชื่นชมเขาเพราะเขามีบารมีเห็นไหม บารมีมันหาซื้อไม่ได้บารมีอยู่ที่การกระทำ

นี่ไง เราทำคุณงามความดีกันๆ คุณงามความดีเพื่อตัวเองก็ทำ คุณงามความดีเพื่อโลกก็ทำ คุณงามความดีเพื่อโลกเพราะอะไรเพราะให้มีอำนาจวาสนาบารมีมา ถ้ามีอำนาจวาสนาบารมี มันมีตรงไหนล่ะ

ดูหัวใจของคนสิ คน เห็นไหม คนดีทำความดีง่ายทำความชั่วยากคนชั่วทำความชั่วง่ายทำความดียากไอ้เรามันครึ่งๆกึ่งๆ จะไปชั่วก็ได้ จะไปดีก็ได้

แล้วมีสติปัญญาขึ้นมา เห็นไหม ให้พร ให้พรแก่ตัวเอง ให้มีสติปัญญา ของที่หามาเราก็ได้หาแล้ว เราพยายามจะแสวงหามา ทุกคนก็แสวงหามาเพราะมนุษย์เขาวัดกันด้วยคุณค่าของหน้าที่การงาน ใครเป็นคนรับผิดชอบใครเป็นคนดูแลใครเป็นคนรักษาตนเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนคนอื่นนี่ไง สังคมมันเกิดที่นี่ไง ถ้าสังคมมันดีขึ้นมาสังคมมันดีมาเพราะอะไรล่ะสังคมมันดีมาเพราะมีคนดีไง

ดูสิเพราะมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงมีพระพุทธศาสนา ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธเจ้า ศาสนามาจากไหน เราเกิดมาชุบมือเปิบเกิดมาเป็นชาวพุทธพบพระพุทธศาสนา มันมีอยู่แล้ว แล้วเวลาจะมาประพฤติปฏิบัติก็บอกว่า“มันมีอยู่ดั้งเดิมนิพพานมันมีอยู่แล้ว”...มันมีอยู่ที่ไหน

ว่าจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส...ใช่จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส เพราะอะไร เพราะธรรมชาติของจิตเห็นไหม เทวดาอินทร์ พรหม เขาเป็นทิพย์สมบัติของเขา เวลาหมดจากอายุขัยของเขา เขาก็มาเกิดเป็นมนุษย์เพราะอะไรเพราะเขาหมดอายุขัย เขาหมดบุญแล้วอย่างมากก็มาเกิดเป็นมนุษย์อย่างเลวก็ตกนรกอเวจีไปเลย

จิตเดิมแท้ผ่องใส เพราะจิตของเขาผ่องใส...ผ่องใสก็อวิชชาไงผ่องใสก็ธรรมชาติของจิตไง ผ่องใสก็ตัวเวียนว่ายตายเกิดไง แล้วมันมาเกิดเป็นเราๆนี่ไง ถ้าจิตเดิมแท้นี้ผ่องใสนิพพานมันมีอยู่แล้ว มันอยู่ไหนล่ะ มันอยู่ไหน

ถ้ามันอยู่ที่นั่น ถ้ามันรู้จริงเห็นจริง มันจะไม่เกิดการทุจริตคำว่า “ทุจริต” คือทุจริตกับเราทุจริตกับตัวเองนะ ตัวเองมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร ถ้ามีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร เห็นไหมนี่มันทุจริตเพราะบอกมันมีอยู่แล้ว มีอยู่แล้วมันก็เชือนแช มันก็ไม่ขวนขวายของมันขึ้นไป แต่ถ้าคนมันขวนขวาย เห็นไหม ของมันมีอยู่หรือไม่มี เราขยันหมั่นเพียรของเรา

นรกสวรรค์มีจริงหรือเปล่า นรกสวรรค์มีจริงไหม

มีจริงหรือไม่มีจริงมันเป็นสัจจะของมันแต่ปัจจุบันนี้เราทำอะไร ถ้าเราทำคุณงามความดีของเราปัจจุบัน เห็นไหมสวรรค์ในอกนรกในใจ สิ่งที่ทำคุณงามความดีมันก็สุขใจ มันทำคุณงามความดีมันก็สบายใจถ้าเราทำคุณงามความดีแล้ว ถ้าสวรรค์มีจริง เราจะไปสวรรค์ แต่ถ้าเราทำความชั่วในหัวใจ เราทำความชั่วของเราแล้ว นี่นรกในใจ แล้วถ้ามันตายไป นรกมันจะมีหรือไม่มี

เห็นไหมสวรรค์ในอกนรกในใจ มันอยู่ที่ปัจจุบันนี้ เขาเรียก สุคโต เราอยากจะมีสุคโตนะ เราอยากได้พร อยากจะขอพรนะ เราทำตัวเรา สุคโต คือปัจจุบันนี้มันมีความสุข ปัจจุบันนี้มันเป็นบุญกุศล มันตายไปมันจะไปไหน มันก็ไปตามอำนาจเวรกรรมที่มันทำมา ทำกรรมดีก็ต้องไปดีของมันทำกรรมชั่วก็ไปชั่วของมัน แต่กิเลสมันก็บอกว่าไม่มีๆๆ

มีหรือไม่มีเอ็งทำไปเถอะ เดี๋ยวเอ็งรู้เอง มีหรือไม่มีตายออกไป รู้ทั้งนั้นแหละ ปากดีนัก เวลาปากดีเพราะอะไรเพราะตอนนี้มันมีอะไรล่ะ? มันมีสถานะของมนุษย์นะ เราได้สร้างบุญกุศลกันมาถึงมีมนุษย์สมบัติ เราถึงเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นมนุษย์สถานะของมนุษย์มีลมหายใจเข้าและลมหายใจออกทำคุณงามความดีก็ทำคุณงามความดี ผลที่มันจะให้ต่อเมื่อจิตออกจากร่างนี้ไปแล้ว มันไม่มีสิ่งใดรองรับนะ มันไปตามสถานะมันนั่นล่ะ จะมีหรือไม่มีล่ะ

ถ้าเราจะขอพร เราอยากได้คุณงามความดี ตั้งสตินี้ไว้ ตั้งสติ จะทำสิ่งใดให้มีสติยับยั้งไว้ยับยั้งเรา ถ้ามันยับยั้งแล้วมันพิจารณาว่าควรหรือไม่ควร ถ้ามันไม่ควรทำเราก็ไม่ควรทำ

ทีนี้มันไม่ควรทำ แต่เห็นเขาทำไง

หลวงตาท่านสอนนะ ในโลกนี้คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก ในเมื่อคนโง่ คนที่มีปัญญาเท่านั้น คนโง่มากมันก็คนส่วนมาก ขนโค เขาโค โคมันมีเขาอยู่ ๒ เขา ขนมันเต็มตัว แล้วสังคม มันจะเลือกดีหรือชั่วมันจะเลือกไปทางไหน แล้วทำไมเขาไปทางนั้นกันหมดล่ะเขาไปทางนั้นก็มันขนโค ขนโคมันมีค่าอะไรกว่าเขาโค เขาโคมันมีอยู่ ๒ เขา โคตัวหนึ่งมีอยู่ ๒เขา

คุณงามความดี เห็นไหมคนที่ตะเกียกตะกายจะทำคุณงามความดี ดูสิปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่พยากรณ์ เขากลับได้ ถ้าเขากลับขึ้นไป เขาลาไง เขาละของเขาเพื่อมาแสวงหาสาวกสาวกะเพื่อปฏิบัติของเขา นี่ไง คุณงามความดีมันอยู่ที่นี่

ถ้ากระแสสังคมเราต้านไม่ไหว นี่ไง เวลาคนที่มีอำนาจวาสนาบารมีเขาถึงไม่ไปไง ถ้ากระแสสังคมก็เหยื่อ เราอยากเป็นเหยื่อไหม ทุกคนไม่อยากเป็นเหยื่อใครทั้งสิ้นนะ เราเป็นเหยื่อในสถานการณ์นั้นเรารู้สึกไม่ดีนะเพราะเราเป็นเหยื่อ

แต่ถ้าเราจะไม่เป็นเหยื่อมันไม่เป็นตรงไหนล่ะ? ไม่เป็นตรงที่มีสตินี่ไงเรามีสติ เราแยกแยะก่อนสิเป็นคุณงามความดีจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นคุณงามความดีจริง เราก็ทำของเรา พื้นฐานของเรา เราต้องมีขึ้นมา เพราะคุณงามความดีเห็นไหม ดูเด็กมันไร้เดียงสาของมัน เราก็ดูแลรักษา แล้วโตขึ้นมา เราต้องมีสติมีปัญญาขึ้นมาสิ แล้วมันโตขึ้นไปๆ มันมีปัญญาขึ้นมา นี่ประสบการณ์ของใจมันพัฒนาของมันขึ้นไป

ทำดี ดีกว่าขอพร การขอพรมันก็ถูกต้อง เพราะการขอพร การอวยพรกันไป นี่น้ำใจ ค่าของน้ำใจ มีน้ำใจยิ้มแย้มแจ่มใสต่อกันมันก็อบอุ่นใช่ไหมตีหน้ายักษ์ใส่กันตลอดมันจะมีความอบอุ่นไปไหนล่ะ นี่มันก็มีประโยชน์ เรายิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน มีน้ำใจต่อกัน ความมีน้ำใจต่อกัน เรามีน้ำใจต่อเขา เขาก็จะมีน้ำใจต่อเรา เราไม่มีน้ำใจให้ใครเลยถึงเวลาแล้วเรียกร้องความมีน้ำใจจากคนอื่นเรามีน้ำใจต่อเขาไหม เห็นไหมค่าของใจๆ มีค่ามากนะ

เวลาหลวงตาท่านมีชีวิตอยู่ ท่านบอกท่านจะไปไหนก็แล้วแต่ท่านไปเอาหัวใจคนๆ ท่านไม่ปรารถนาสิ่งของเลย ท่านไม่ปรารถนาวัตถุธาตุเลย โลกนี้มีเท่านี้แหละ มันก็อยู่ของมันอย่างนั้นแหละ เราไปให้ค่ามันเท่านั้นแหละ แต่หัวใจคนล่ะ หัวใจคนที่มันทุกข์มันยากแล้วหัวใจคนมันต้องการอะไร? มันต้องการความเป็นธรรมถึงจะทุกข์จะยากเราก็ทุกข์ยากด้วยกัน ถึงจะทุกข์จะยากก็ขอทุกข์ยากด้วยกันไม่มีใครเอาเปรียบใคร มันอยู่ได้ ถึงเวลามันสุข ขอให้มันสุขด้วยกัน ถ้ามันทุกข์ด้วยกัน มันสุขด้วยกัน นี่ความเป็นธรรมถ้ามีความเป็นธรรมนะ มันอยู่ได้ มันพอใจ

แต่ถ้ามันไม่มีความเป็นธรรมล่ะ เราทุกข์เรายากอยู่นี่ เขาเหยียบย่ำเราอยู่นี่ มันทนได้ไหมล่ะ ถ้าเขาจะมีความสุข ความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นมันมีประโยชน์ตรงไหน นี่ก็เหมือนกัน เราแสวงหาๆเป็นความพอใจของเรา แล้วเหยียบย่ำหัวใจของเรามันมีความสุขตรงไหนมันมีความจริงตรงไหน ที่เราว่าเราได้ทรัพย์สมบัติ เราแสวงหากัน เราแสวงหาสิ่งที่ว่ามันเป็นความสุขมันเป็นความพอใจของเรา เราแสวงหามาแสวงหามาเพื่อมาเหยียบหัวใจเรา มันมีค่าที่ไหน

แต่ถ้าเราหามาเพื่อหน้าที่การงาน เรามีสติปัญญา เราก็หาหามาเพื่อดำรงชีวิต ดำรงชีวิตนี้ไว้เพื่อค้นคว้าสัจธรรมในใจของเรา ถ้าใครค้นคว้าสัจธรรมในหัวใจของตัวเจอ ความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบ มันมีคุณค่าแก้วแหวนเงินทอง ทรัพย์สินอะไรก็แล้วแต่หาซื้อไม่ได้ หาซื้อความสงบของใจไม่ได้

จะมีเงินล้นฟ้าขนาดไหนถ้าสิ่งที่เป็นสัจธรรมนี้มันไหว้วาน มันซื้อหากันได้ เศรษฐีโลกเขาซื้อนิพพานไปหมดแล้วล่ะ คนมั่งมีศรีสุขเขาจะมีสิ่งนี้สมความปรารถนาเขา ไอ้พวกเราคนทุกข์คนจน ยิ่งพระนี่ไม่มีสิทธิ์เลยเพราะพระมีบริขาร ๘ ไม่มีเงิน จะไปซื้อเอาจากใคร ถ้านิพพานซื้อได้นิพพานไหว้วานกันได้ นิพพานมีคนแจกได้ พระจะไม่มีโอกาสได้เลย เพราะพระไม่มีเงินกับเขาสักสลึงหนึ่ง จะไปเอาจากใคร ไม่มี

แต่พระขวนขวายมาจากการเดินจงกรม การนั่งสมาธิภาวนาการทำงานของใจ ใจค้นคว้าในใจของตัวขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ อยู่ในป่าในเขา อยู่โคนต้นโพธิ์นั้นเท่านั้น ระหว่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับต้นโพธิ์ระหว่างหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับร่างกายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระหว่างกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับอาสวักขยญาณในสัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าขึ้นมาทำลายอวิชชาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงเป็นศาสดาของเราไงเอาสัจจะความจริงอันนี้มาวางเป็นธรรมวินัยให้เราศึกษา เห็นไหม

ฉะนั้นบอกว่าวันนี้วันปีใหม่ เราจะหาสมบัติทางโลกเราก็ต้องหา คนเกิดมามีปากมีท้อง ปัจจัยเครื่องอาศัยของชีวิตก็ต้องแสวงหา ต้องทำของเรา ทำตามสัจจะ ทำตามความจริงของเรา แล้วคิดถึงตัวเราไหม รักเราจริงหรือเปล่า รักตัวเองจริงหรือเปล่า สิ่งที่หามาเป็นของเราจริงหรือเปล่า แล้วหัวใจเป็นของเราจริงๆ อยู่นี่เป็นความจริงจริงแท้ เราเคยดูแลมันไหม แล้วจะดูแลอย่างไรล่ะ แล้วทำอย่างไรถึงเป็นการดูแลล่ะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะนิพพานนะมีคนมาทำบุญมหาศาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ “อานนท์เธอบอกเขานะอย่าบูชาเราด้วยอามิสบูชาเลย การที่ทำนี้เป็นอามิสบูชาบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ปฏิบัติบูชา ให้ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานเวลามารมาดลใจๆ ตลอด “มารเอย เมื่อใดภิกษุภิกษุณี อุบาสกอุบาสิกาของเรายังไม่เข้มแข็ง ยังไม่เข้มแข็งมีสัจธรรมในหัวใจไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงคำนินทา คำถากถางของลัทธิต่างๆ”

เขานินทา เขาถากถางว่า “ทุกข์นิยม ไอ้พวกนี้ทุกขสัจ อะไรก็เป็นทุกข์ๆ ไปหมด”

ไม่ใช่ทุกข์นิยมสัจนิยม อริยสัจจะ ความจริงแท้

ทุกข์สมุทัย นิโรธมรรค ถ้ามันเข้าสู่ความจริงแท้แล้วทุกข์มันดับไปทุกข์มันสิ้นไปวิมุตติสุขมันอยู่ไหน นี่ความจริงแท้ต่างหากล่ะเห็นไหม

“มารเอยภิกษุ ภิกษุณีอุบาสก อุบาสิกายังไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ เราจะไม่ยอมนิพพาน” จนท่านวางพื้นฐาน รากฐานมาจนพระมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา“บัดนี้ ภิกษุภิกษุณี อุบาสกอุบาสิกาของเราเข้มแข็ง สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ อีก ๓เดือนข้างหน้าเราจะนิพพาน”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว แล้ววางสัจจะ วางอริยทรัพย์ วางสิ่งที่เป็นอริยสัจจะความจริงไว้ในพระพุทธศาสนาเราเองต่างหากจะต้องค้นคว้าในหัวใจของเราขึ้นมา เอาความจริงนี้ออกมา เอาความจริงนี้ออกมาไง

บอกว่าแล้วจะรักษาใจอย่างไรล่ะ เราจะดูแลใจอย่างไรล่ะ

ตั้งสติไว้ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก กำหนดพุทโธของเรา ให้หัวใจมันสงบเข้ามา พอหัวใจมันสงบเข้ามาแล้ว เรารู้แล้วเห็นไหม เรามีบ้านมีเรือนกันคนละหนึ่งหลังเราได้ทำความสะอาดในบ้านในเรือนเราบ้างหรือเปล่า ในบ้านในเรือนนั้นข้าวของนั้นเก็บไว้เรียบร้อยหรือไม่ถ้าข้าวของเก็บไว้เรียบร้อย บ้านเรือนเราก็เรียบร้อย บ้านเรือนเราก็สะอาด น่าอยู่น่าอาศัย

จิตใจของเรา ถ้ามีสติปัญญาเข้าไปเรากำหนดพุทโธเข้าไป มันก็เข้าไปสู่บ้านเรือนของเรา พอเข้าถึงบ้านเรือนของเรา เราจะมีโอกาสได้รักษาบ้านเรือนของเราแต่เราหาบ้านเราไม่เจอ เราไม่รู้ว่าบ้านเราอยู่ไหนเช่าเขาอยู่ๆ นี่สมมุติทั้งนั้นแหละ เช่าเขาอยู่เขาไล่ก็ต้องไปเขาให้อยู่ก็ได้อาศัย ก็เท่านั้น

พุทโธเข้าไป หาบ้านเรือนของเราให้เจอ หาบ้านของเรา นี่ไง รักษาใจๆ นี่ไง แล้วรักษาอย่างไรล่ะ

พยายามศึกษา พยายามค้นคว้า แล้วพยายามปฏิบัติทำให้เป็นจริงขึ้นมา แล้วเราจะได้ความจริงนะ

เราวิ่งกันทำบุญกุศลก็เพื่อบุญกุศล เพื่อความสุขของเราเพื่อคุณงามความดีของเราเพื่อมรรคเพื่อผลของเรา อันนี้ไปก็ได้ฟังธรรมๆฟังธรรม สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังสิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วก็ตอกย้ำมันตอกย้ำลงไป

สัจธรรมมันมีจริงหรือเปล่า ยืนยันกันมา มรรคผลมีจริงไหม บุญกุศลมีจริงไหม นรกสวรรค์มีจริงหรือเปล่า สัจจะอริยสัจจะมีจริงไหม แล้วพิสูจน์กันในหัวใจของเรา มันจะเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นความจริงแท้ในใจของเรา “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” เอวัง